‘ซาร์โก’ ความตายเสรีหรืออาวุธสังหารในคราบความเมตตา
พวกคุณหลายคนอาจคุ้นเคยกันดีกับแนวคิดที่เชื่อว่าความตายเป็นสัจธรรมที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าแนวคิดดังกล่าวกำลังถูกท้าทายด้วยการมีตัวตนของ ‘ซาร์โก’ (Sarco)— แคปซูลหน้าตาสุดล้ำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนจบชีวิตตัวเองเพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัส สิ่งนี้ไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนความตายให้กลายเป็นกระบวนการที่แสนสงบและนุ่มนวล ทว่ามันยังทวนกระแสของศีลธรรมและผลักดันความเชื่อที่ว่า ในบางครั้งชีวิตก็ทำให้ความตายเป็นสิ่งล้ำค่าได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หน้าตาของความตายเมื่อมองผ่านเลนส์ชีวิตที่มัวหมอง
แรกเริ่มเดิมทีขอบเขตของความเจ็บปวดที่ถูกใช้เป็นเหมือนกับตั๋วสู่การตายโดยสมัครใจ ถูกตีวงให้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มของผู้ป่วยร้ายแรงที่ถูกวินิจฉัยว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้เท่านั้น ‘การุณยฆาต’ (Euthanasia) หรือ ‘การช่วยฆ่าตัวตายโดยแพทย์’ (Assisted suicide) ดูจะเป็นการตัดจบชีวิตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการต้องปล่อยให้ความตายกัดเซาะจิตใจและความสุขอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะเริ่มถูกผลักดันในปลายศตวรรษที่ 19 แต่ก็เคยถูกแย้มพรายมาแล้วตั้งแต่ยุคสมัยที่นักปรัชญามีสถานภาพไม่ต่างจากศิลปินวง K-Pop
“ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือสูญสิ้นเหตุผลในการดำรงอยู่ ก็ไม่ควรจะเป็นชีวิตที่ยืดเยื้อ”— หนึ่งในคำพูดที่ถูกสกัดมาจากแนวคิดของ ‘เพลโต’ (Plato) ผู้วางรากฐานให้กับนักปรัชญาในตะวันตก
จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมแห่งอิสรภาพทางความตาย
เหมือนกับ ‘โฮโมเซเปียนส์’ (Homo sapiens) ที่สืบเชื้อสายมาจากวานรยักษ์เมื่อเจ็ดล้านปีก่อน ซาร์โกก็มีบรรพบุรุษของตนเองอยู่เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ‘Deliverance Machine’ หรือ ‘เครื่องจักรแห่งการปลดปล่อย’— มันเคยเป็นเครื่องการุณยฆาตเครื่องแรกและเครื่องเดียวของโลกที่จีบกฎหมายติด โดยตัวเครื่องประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งโปรแกรมสำหรับควบคุมผ่านการป้อนคำสั่งบนแป้นพิมพ์ โดยสิทธิ์ในการควบคุมนั้นเป็นของผู้ป่วย ทันทีที่เขาหรือเธออนุมัติ ระบบจะทำการสูบฉีดความตายเข้าร่างกายผ่านหลอดเลือดดำ และปลดปล่อยพวกเขาจากความเจ็บปวดทุกประการ มันถูกใช้ครั้งแรกที่ออสเตรเลียในปี 1996 ก่อนจะนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา
ตัดภาพมาที่ปี 2012 จิตวิญญาณแห่งเครื่องการุณยฆาตได้ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งด้วยการเคลื่อนไหวของนักกฎหมายชาวอังกฤษที่ต้องการให้ผู้ก่อตั้งองค์กร Exit International ออกแบบเครื่องจักรที่จะช่วยปลดปล่อย ‘โทนี่ นิกคลินสัน’ (Tony Nicklinson) จากความทรมานของภาวะ ‘ล็อกอินซินโดรม’ (Lock-in Syndrome) ทว่าศาลกลับไม่เห็นชอบกับความต้องการดังกล่าว หลังจากถูกปฏิเสธเพียงหกวัน โทนี่ก็ได้จากไปในบ้านพักของเขาในเมืองเมลคแซม— แต่ในขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นการกำเนิดของโครงการซาร์โก
การเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดสู่นวัตกรรมที่จับต้องได้อย่างเปิดเผย
ดร. ฟิลิป นิตช์เก (Dr. Philip Nitschke) ได้รับฉายาว่า ‘ดอกเตอร์แห่งความตาย’ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นแพทย์และนักฟิสิกส์ชาวออสเตรเลียผู้รณรงค์เรื่องสิทธิในการตายภายใต้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ แต่เพราะเขาเป็นเจ้าขององค์กร Exit ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการขยายเพดานของการตายโดยสมัครใจให้เป็นตัวเลือกที่จับต้องได้มากขึ้นในสากลโลก— และเขานี่แหละที่เป็นผู้ให้กำเนิดซาร์โกและบรรพบุรุษของมัน
“เราเชื่อมั่นว่าการออกแบบความตายให้กับตนเองนั้นเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน หากความตายคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาก็ควรได้รับมันในเวลาและในสถานที่ที่พวกเขาเป็นคนเลือก ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างสงบและปลอดภัย”— อุดมการณ์ของ Exit International องค์กรผู้มอบนิยามใหม่ให้กับความตาย
กลไกของ ‘ซาร์โก’ ในการจบชีวิตคน
ซาร์โกถูกนำเสนอต่อสาธารณชนครั้งแรกในปี 2019 ในฐานะของแคปซูลที่สามารถลดระดับออกซิเจนได้อย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการรักษาระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต่ำ โดยกระบวนการสู่ความตายที่ถูกการันตีว่าแสนสงบสุขนั้นเริ่มต้นจากระเบียบคัดกรองผู้ใช้ ว่าพวกเขาผ่านการประเมินทางจิตเวชหรือไม่ ก่อนจะเอนกายนอนในแคปซูลและตอบคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจว่าผู้ใช้ตระหนักดีถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในภายหลัง
เมื่อกดปุ่ม ออกซิเจนภายในแคปซูลจะลดลงจาก 21% จนเหลือเพียงแค่ 0.05% ภายในเวลาไม่ถึง 30 วินาที โดยหากในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้นผู้ใช้เกิดเปลี่ยนใจ ปุ่มฉุกเฉินที่ติดตั้งอยู่ด้านในจะทำหน้าที่ยุติกระบวนการทั้งหมด แต่หากปุ่มนั้นไม่ได้ถูกกด ผู้ใช้จะหมดสติอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตอย่างสงบภายในเวลาประมาณ 5 นาที— ด้วยความที่แคปซูลนี้ถูกผลิตจากวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ มันจึงกลายเป็นโลงศพที่จะเก็บรักษาร่างของผู้ใช้ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
กฎหมายและศีลธรรมยอมรับการมีตัวตนของซาร์โกมากน้อยแค่ไหน
เอลิซาเบธ เบาเม-ชะนีเดอร์ (Elisabeth Baume-Schneider) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าแคปซูลการุณยฆาตซาร์โกยังไม่ผ่านเกณฑ์ว่าด้วยความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และการใช้งานไนโตรเจนก็ยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายผลิตภัณฑ์เคมี แถมซาร์โกยังถูกตีตราจาก ‘Swissmedic’ ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อีกด้วยว่านิยามของซาร์โกไม่ได้ตรงกับความเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้ในการรักษาเลยสักนิด— ยาก็ไม่ใช่ อุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ไม่ใช่
คำถามคือ… แล้วเงื่อนอะไรบ้างที่ซาร์โกต้องใช้เพื่อจีบกฎหมายให้ติด
แม้ความปลอดภัยกับการใช้สารเคมีจะเด้งขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ของรายการอุปสรรค แต่นั่นไม่ใช่เงื่อนไขทั้งหมดที่องค์กร Exit ต้องรับมือเพื่อผลักดันให้ซาร์โกมีหน้ามีตาในบัญญัติกฎหมาย เพราะต่อให้สองเงื่อนไขนี้ถูกถอดออกจากสมการ ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าซาร์โกจะใช้ได้แค่ในประเทศที่ศีลธรรมไม่ได้ยืนอยู่คนละฝั่งกับการการุณยฆาต
ดังนั้นเงื่อนไขทางศีลธรรมยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ค้ำยันไม่ให้ซาร์โกเป็นที่ยอมรับ มันผนึกอย่างเหนียวแน่นกับกฎหมายอาญาของหลายประเทศทั่วโลก ถ้าเป็นที่ประเทศไทยก็ถือว่าผิดตามมาตรา 288-289 ซึ่งมีน้ำหนักมากพอที่จะเปลี่ยนให้ใครสักคนกลายเป็นฆาตกร
เหยื่อหรือผู้ถูกปลดปล่อย : กรณีตัวอย่างจากผู้ใช้รายแรกที่จบชีวิตในซาร์โก
“มันไม่สำคัญว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ฉันแค่อยากตายให้เร็วที่สุดเท่านั้นก็พอ” ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวของหญิงชราชาวอเมริกันที่ตัดสินใจจบชีวิตของตันเองในวันที่ 23 กันยายน ปี 2024 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้ความดูแลขององค์กรที่ใช้ชื่อว่า The Last Resort— จนถึงทุกวันนี้เธอยังคงเป็นผู้ใช้เพียงคนเดียวที่ได้ใช้ซาร์โกเพื่อการจากไปอย่างสงบและเสรี โดยก่อนตายเธอได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าความต้องการนี้เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นในปี 2022 ที่ได้รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคกระดูกอักเสบที่ฐานกะโหลกศีรษะ แต่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนโครงสร้างความปกติในชีวิตประจำวันแทบไม่เหลือเค้าเดิม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการตัดสินใจนี้จะได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวของหญิงชรา แต่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องที่อยู่บริเวณนั้นทุกคนต่างก็ถูกคุมตัวและตั้งข้อหาเพื่อรอฟังคำตัดสิน— หนึ่งวันให้หลังซาร์โกถูกประกาศว่าผิดกฎหมาย
บทสรุป
บนหน้าประวัติศาสตร์แห่งความตายเสรีที่เพิ่งจะถูกบันทึกมาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา (ยึดตามปีที่เขียนบทความนี้ซึ่งก็คือปี 2025)— อุดมการณ์ที่ดร. ฟิลิป นิตช์เกพยายามผลักดันโดยใช้ซาร์โกเป็นใบเบิกทาง ยังคงเป็นที่กังขาทั้งในแง่ของศีลธรรมและในมุมมองของกฎหมาย แม้ว่าความตั้งใจของเขาจะตั้งอยู่บนแนวคิดที่สนับสนุนให้ผู้มีสติสัมปชัญญะสามารถมีอิสระในการออกแบบความตายของตนเองได้ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ออกมาชี้ว่า ‘เสรีภาพ’ ที่ถูกขับเคลื่อนโดยแนวคิดนี้เป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อผิด ๆ ที่มักพบได้ในกลุ่มผู้ป่วยและผู้ทุพพลภาพว่าตนเองนั้นเป็นภาระของครอบครัว ยังไม่นับรวมไปถึงกลุ่มผู้มีความเปราะบาง มันสะท้อนถึงความน่ากังวลที่ว่าซาร์โกจะเป็นการชี้นำความรู้สึกนึกคิดของผู้คนมากกว่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา
อาจกล่าวได้ว่าความเป็นไปได้ที่ซาร์โกจะถูกใช้เป็นทางเลือกใหม่ของการตายอย่างสงบนั้น ยังห่างไกลจากยุคสมัยที่ภาพลักษณ์ของความตายถูกผูกยึดกับความเศร้าและความเจ็บปวด ทว่าอุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้ลดทอนอุดมการณ์ของดร.ฟิลลิปให้เบาบางลงเลย เขายังคงลงทุนกับอนาคตที่บทบาทของความตายสารมารถสร้างความแตกต่างจากที่เคยเป็น และเป็นกระบวนการที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือหรือการวินิจฉัยทางการแพทย์— คงมีแค่เวลาที่ตอบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อยุคสมัยนั้นมาถึง…
แหล่งค้นคว้า (References)
Exit International— https://www.exitinternational.net/sarco/
Sarco Suicide Pod: How The Controversial Capsule Functions— https://www.ndtv.com/world-news/sarco-suicide-pod-how-the-controversial-capsule-functions-and-the-chilling-message-it-delivers-6653103?utm_source=chatgpt.com
Death Pods: Suicide Is Still Never the Answer— https://cbhd.org/cbhd-resources/death-pods-suicide-is-still-never-the-answer?utm_source=chatgpt.com
Assisted suicide: Sarco capsule deemed incompatible with Swiss law— https://www.swissinfo.ch/eng/demographics/assisted-suicide-sarco-capsule-deemed-incompatible-with-swiss-law/87604954
The ‘Sarco Suicide Pod’ and Beyond— https://bioethicstoday.org/blog/the-sarco-suicide-pod-and-beyond-ai-in-the-future-of-end-of-life-decisions/?utm_source=chatgpt.com
The Doctor Behind the ‘Suicide Pod’ Wants AI to Assist at the End of Life— https://www.wired.com/story/the-doctor-behind-the-suicide-pod-wants-ai-to-assist-at-the-end-of-life/?utm_source=chatgpt.com
ผู้เขียน: อธิปรก นรพัลลภ