ฟิลเลอร์ใต้ตา กับการยกระดับสถานะทางสังคมด้วยความงาม
หากเราพูดถึงนวัตกรรมความงามอย่าง ฟิลเลอร์ใต้ตา (Tear Trough Filler) แน่นอนว่ามันคือการแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอยได้ตาของเราที่เห็นผลที่สุดและสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมเสริมความงามที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงเลยในปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลรูปลักษณ์ให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ เพราะฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ต้องผ่าตัดและสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย แต่ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องความสวยงามส่วนบุคคลเท่านั้น ถ้าเราลองพิจารณาในมิติที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก เราจะรู้ว่ามันสะท้อนถึงค่านิยมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในยุคปัจจุบันได้มากมายแค่ไหน ?
ถ้าเราลองสำรวจสังคมของเรา ณ ตอนนี้ ค่านิยมความงามหลายอย่างมันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสื่อสังคมออนไลน์ สังเกตได้จากโซดชีบลมีเดียอย่าง Instagram หรือ TikTok แพลตฟอร์มเหล่านี้ส่วนใหญ่เราจะเห็นมันนำเสนอภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ชีวิตดี (แต่เบื้องหลังของคนพวกนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ) และฟิลเลอร์ใต้ตาได้กลายเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ผู้คนสามารถปรับแต่งรูปลักษณ์ของพวกเขาให้สอดคล้องกับมาตรฐานความงามในสังคมดังที่กล่าวมาเลย อย่างเช่นการลดความหมองคล้ำใต้ตา การลบเลือนริ้วรอย หรือการเสริมสร้างลุคที่ดูสดใส พอเรามีคุณสมบัติอะไรแบบนี้แล้ว รับรองครับว่ามันช่วยยกระดับชีวิตคุณได้จริง ๆ ดังที่บางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณหน้าตาดี โลกนี้จะใจดีกับคุณ”
แต่อย่างไรก็ตามครับ ความต้องการนี้มันก็ต้องแลกมาด้วยการสะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น หลายคนรู้สึกว่าต้อง “ทำตาม” มาตรฐานความงามเพื่อให้ได้รับการยอมรับในสังคม ทั้งในเรื่องอายุ เพศ หรือสถานภาพทางสังคม ส่งผลให้การเสริมความงามแบบไม่ผ่าตัดเป็นที่แพร่หลาย ผมจะยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าหากว่าคุณละเลยการใช้งานฟิลเลอร์ใต้ตาครับว่าสังคม ณ ปัจจุบันมันจำเป็นแค่ไหน
ความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจการเมือง ทุกวันนี้ฟิลเลอร์ใต้ตากำลังเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมความงามที่มีมูลค่ามหาศาล โดย Allied Market Research คาดการณ์ว่าตลาดความงามทั่วโลกจะเติบโตถึง 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028 ทำให้การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การกำหนดนโยบาย และการตลาดที่เน้นสร้างความต้องการในผู้บริโภค รัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศก็สนับสนุนอุตสาหกรรมความงามเช่นกัน เช่นการลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือการส่งเสริมให้คนเห็นถึงความสำคัญของรูปลักษณ์ การตลาดมักเชื่อมโยงฟิลเลอร์ใต้ตากับความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสในหน้าที่การงานหรือความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว
แต่ถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้ในประเทศไทยของเราก็ถือว่าเราให้ความสำคัญในเรื่องหน้าตากับโอกาสในหน้าที่การงานเช่นกันครับ ทีนี้สิ่งที่เรากำลังขาดก็คือรัฐบาลยังสนับสนุนเรื่องของความงามได้ไม่ค่อยเต็มที่เท่าไร ผมก็เชื่อว่าถ้าประเทศของเรามีการลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยและพัฒนาฟิลเลอร์ใต้ตาก็อาจจะทำให้ยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศของเราดูดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ
ความไม่เท่าเทียมของสังคม
เอาจริง ๆ ถึงแม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน มันหนีไม่พ้นความไม่เท่าเทียมอยู่แล้วครับ แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ แต่เรื่องของค่าใช้จ่ายที่สูงนี่แหละครับที่ทำให้การเข้าถึงบริการเหล่านี้จำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านความงามระหว่างชนชั้น ผู้คนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ก็อาจรู้สึกถึงแรงกดดันทางสังคมและมองว่าตนเองดู “ด้อยค่า” เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่สามารถเสริมความงามได้ตามมาตรฐานสังคม ค่านิยมความงามในลักษณะนี้จึงมีส่วนขยายช่องว่างทางสังคมให้กว้างขึ้นมากกว่าเดิมครับ
ฟิลเลอร์ใต้ตากับการแสดงสถานะการการเมือง
การเสริมความงามรวมถึงฟิลเลอร์ใต้ตาด้วย ในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างมีบทบาทเชิงสัญลักษณ์ในมิติทางการเมือง ผมจะยกตัวอย่างสถานะของบางประเทศที่การเสริมความงามสะท้อนถึงความทันสมัยและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ประเทศนั้นคือ เกาหลีใต้ ประเทศนี้มีการทำศัลยกรรมและหัตถการเสริมความงามที่นิยมจนได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความเป็นสากล คุณคงจะสังเกตดารานักแสดงของเกาหลีใต้ว่าเกือบทุกคนมีการทำศัลยกรรมและหัตถการเสริมความงาม จนกลายเป็นหน้าตาที่ถูกสเปคกับคนไทยเลยครับ แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะบางคนก็มีการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาและการเสริมความงามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีและน่าเชื่อถือ เนื่องจากภาพลักษณ์ภายนอกมีบทบาทสำคัญต่อการรับรู้ของประชาชน การปรากฏตัวที่ดูมีความมั่นใจสามารถเพิ่มความนิยมและสร้างความไว้วางใจได้อย่างมีนัยสำคัญเลยครับ
การส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและจิตสำนึกในสังคม
การใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองแล้วครับ แต่ยังมีผลต่อสุขภาพจิตของผู้คนและจิตสำนึกทางสังคม หลายคนเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ของตนเอง และมองว่าการเสริมความงามเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แล้วมันก็วนมาถึงเรื่องกำลังทรัพย์ของแต่ละคนครับ ในขณะเดียวกัน สังคมเริ่มตั้งคำถามถึงค่านิยมความงามที่ถูกกำหนดโดยกลุ่มคนส่วนน้อยหรือองค์กรที่มีอำนาจในการกำหนดมาตรฐานความงาม เช่นเดียวกับประเด็นเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการใช้ฟิลเลอร์ เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ หรือผลข้างเคียงที่ไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างแพร่หลายในสื่อ พอใครบางคนอยากใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาแต่กำลังทรัพย์ไม่พอก็เลยต้องพึ่งการทำฟิลเลอร์ใต้ตาที่ราคาถูกเกินและไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็จะเกิดผลข้างเคียงตามที่กล่าวไปได้ครับ
ฟิลเลอร์ใต้ตาอาจจะสะท้อนถึงด้านดีที่ทำให้คนเรามีสถานะทางสังคมที่ยกระดับขึ้นไปได้ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความงาม การเมือง และสังคม การใช้ฟิลเลอร์แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันทางสังคม ความไม่เท่าเทียม และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ดังนั้นผมขอให้ทุกคนพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองและใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาโดยไม่มองว่าเป็นเพียงกระแสนิยมหรือเรื่องส่วนตัวเท่านั้นด้วยครับ
แหล่งที่มา
ความงาม ในรูปแบบการทำ ฟิลเลอร์ใต้ตา